ตคิและมารยาทในการทานส้มตำ
- หลังการตำเสร็จแม่ค้ามักตักเส้นส้มตำแต่พอน้อยให้ผู้ซื้อชิม หากรสชาติไม่หนักพอจะปรุงเพิ่มอีกรอบ
- การปรุงเพิ่มจะปรุงในครกเท่านั้น ไม่ปรุงบนจานหรือในถุง หากปรุงในจานหรือถุงมักถูกตำหนิว่า "ขะลำ" คือกระทำผิดธรรมเนียมโบราณ หรือทำ "ผิดสูตร"
- คนรับประทานส้มตำใส่ปลาร้าดิบหรือปลาร้าเป็นตัวมักถูกมองว่าเป็นคนบ้านนอก คนในเมืองมักรับประทานปลาร้ากรองต้มสุกปรุงด้วยน้ำตาล แป้งนัว น้ำกระเทียมดอง และใบหมากเขียบ (ใบน้อยหน่า)
- การชิมน้ำส้มตำจากทัพพีถือว่าเป็นกิริยาน่าเกลียด ต้องชิมจากช้อนต่างหาก
- การชิมเส้นส้มตำจากทัพพีต้องใช้มือจับหากชิมโดยตรงจากทัพพีถือว่าเป็นกิริยาที่น่าเกลียดมาก
- น้ำปลาร้าที่มีสีดำและส่งกลิ่นรุนแรงมากๆ มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับ "อุจจาระ" หรือ "ขี้"
- การรับประทานส้มตำห้ามรับประทานในครก ห้ามเลียสาก ห้ามทานซ้อนช้อน ห้ามทานซ้อนจาน ห้ามทานใส่ถ้วย และห้ามทานซ้อนถาด
- คนทานส้มตำรสหวานมักถูกมองว่าเป็นเด็ก
- คนทานส้มตำรสเผ็ดมักถูกมองว่าเป็นไปตามธรรมเนียมนิยมของคอส้มตำ
- คนทานส้มตำกับข้าวสวยมักถูกแซวจากคนรอบข้าง แต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
- การใช้ข้าวเหนียวจ้ำในน้ำส้มตำรับประทานบ่อยๆ แปลว่าส้มตำนั้น "แซบหลาย" หรืออร่อยมาก
- การใช้ช้อนซดน้ำส้มตำมักถูกมองว่า "ซดน้ำแป้งนัว" หมายถึงการรับประทานน้ำของผงชูรส"
- ส้มตำที่ทิ้งไว้ไม่นานจากการรับประทานครั้งแรกเรียกว่า "เงื่อน" จะทำให้มีรสชาติให้น่ารับประทาน เรียกว่า "โอ่"
- แม่ค้าที่ปรุงส้มตำใม่ถูกใจลูกค้ามากเกิน ๓ ครั้ง ถือว่า "มืออ่อน" สมควรเปลี่ยนอาชีพใหม่
- หากตำส้มตำเบาเกินไปจนสากหลุดมือหรือทัพพีหลุดมือ เรียกว่า "ตีนอ่อนมือแพน" หาสามีได้ยาก
- การตำพริกกระเทียมต้องตำพอบุบ หากตำละเอียดเกินไปมักถูกคนในบ้านไล่ให้ไปตำแจ่ว (ตำน้ำพริก) จะดีกว่า
- ในชนบทของอีสานและลาวถือว่าร้านค้าส้มตำประจำหมู่บ้านเป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรมการกินอย่างหนึ่ง
- ในงานเลี้ยงสังสรรค์และงานมงคลต่างๆ ของชาวอีสาน ทั้งในหรือนอกสถานที่หากขาดส้มตำไปจะถือว่า "ไม่ครบสูตร" หรือผิดธรรมเนียมนิยม
- ชาวอีสานหรือชาวลาวที่ไม่รับประทานส้มตำมักถูกมองจากสังคมด้วยสำนวนว่า "ดัดจริตหีบิดหีเบี้ยว" หรือ "กระแดะ" และมักถูกตำหนิอย่างรุนแรงว่าเป็นพวก "ลาวลืมชาติ"
- การรับประทานส้มตำที่เผ็ดเกินไป มักนิยมรับประทานเกลือมากกว่าน้ำตาลเพื่อแก้เผ็ด
- ส้มตำสามารถรับประทานได้ทั้งมือเปล่า บ่วง (ช้อนกลาง) และช้อนส้อม แต่ไม่นิยมตะเกียบ
- การรับประทานส้มตำนั้นห้าม "ควัดหาต่อน" หรือ "เขี่ยหาต่อน" เพราะถือเป็นกิริยาน่ารังเกียจ
- การรับประทานส้มตำกับก๊วยเตี๋ยวหรือเกาเหลาเป็นที่นิยมอย่างหนึ่งในชาวลาวและอีสาน
- คำว่า ตำหมากหุ่ง มักถูกนำมาใช้เปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ว่า "ตำตีน" สำหรับเสียดสีคนที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ คนเช่นนั้นมักจะถูกถามเชิงเสียดสีว่า ทาน "ตำตีน" ไหม ?
- ครกส้มตำมักถูกนำมาอุปมากับอวัยวะเพศหญิง สากส้มตำมักถูกนำมาอุปมากับอวัยวะเพศชาย
- ร้านค้าส้มตำมักบูชาสากขนาดต่างๆ กัน และบูชาปลัดขิกขนาดใหญ่วางไว้หน้าร้าน พร้อมกับผูกผ้า ๗ สี ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
- การตำส้มตำห้ามใช้ครกหินตำ ต้องใช้ครกไม้ตำเท่านั้น และครกไม้แต่ละชนิดเชื่อว่าจะให้รสชาติแก่ส้มตำที่ต่างกัน
- ในสายตาคนทั่วไปมักมองว่า แม่ค้าส้มตำมักปากจัดและมีลีลาทางเพศที่เร่าร้อนกว่าสตรีธรรมดา
- แม่ค้าส้มตำที่มีไฝหรือขี้แมลงวันเม็ดใหญ่บนใบหน้า แต่งหน้าจัดหรือทาปากสีแดงแจ่ม พร้อมทั้งใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ มักถูกประเมินว่าเป็นแม่ค้าที่ตำส้มตำอร่อยและมีรสชาติจัดจ้าน
- ในสายตาคนทั่วไปมักมองว่า เกย์หรือสาวประเภทสองนิยมประกอบอาชีพตำส้มตำมากกว่าชายแท้
- แม้ค้าส้มตำที่ตำไปด้วยเต้นไปด้วย หรือตำไปด้วยหมุนสากหรือเหวี่ยงสากไปด้วย มักถูกมองว่า "ไม่ธรรมดา" ทั้งๆ ที่กิริยาเช่นนี้ใครๆ ก็ทำได้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมทำ
- เส้นมะละกอที่นำมาทำส้มตำมักถูกมองว่า "เส้นสับ" อร่อยและมีอรรถรสมากกว่า "เส้นขูด" เนื่องจากเส้นขูดมักไม่กรอบและมีเส้นยาวอ่อนปวกเปียกเคี้ยวไม่อร่อย
- การทำเส้นมะละกอขูดมักถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจมักง่าย
- คำว่า "นัว" เป็นคำที่นิยมใช้ในรสชาติของส้มตำ และคำว่า นัว ยังใช้กับรสชาติของปาแดก (ปลาร้า) และรสของแป้งนัว (ผงชูรส) ด้วย
- การพูดจาดูถูก ปฏิเสธ รังเกียจ หรือการทำท่าทางปิดจมูกเวลาได้กลิ่นส้มตำถือเป็นอาการเสียมารยาทอย่างยิ่ง ไม่ควรกระทำต่อหน้าธารกำนันเด็ดขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น